Signs of the Hour

Articles Subject Information
Title: Signs of the Hour
Language: Thai
The Writer: Muhammad Bin Ibrahim Al-Tuwajre
Translation: Anwar Ismael
Reviewing: Safi Othman
Publisher: Islamic Propagation Office in Rabwah
Short Discription: The article quoted from the book translated brief Islamic jurisprudence, Sheikh Mohammed bin Ibrahim Tuwaijri, talking about science at the Signs of big and small, and mentioned verses and Hadiths contained therein.
Addition Date: 2008-06-19
Short Link: http://IslamHouse.com/153595
This address categorized objectively under the following classifications
Translation of Subject Description: Thai - Arabic - Bengali - Malayalam - Bosnian - Uzbek
Detailed Description

- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ

วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า

«يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا»

ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)

- สัญญาณวันกิยามะฮฺ

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่

- หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮ

แบ่งออกเป็นสามประเภท

1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ

จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... »

ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)

จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى»

ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)

2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว

จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า

«أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ »

ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)

3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก

สัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

 

- สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮ

จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า

اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : «مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : «إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ»

ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)

1. การปรากฏตัวของดัจญาล

ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด

จากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า

كُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : «هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ»

ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)

- ฟิตนะฮฺของดัจญาล

การปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์

 - คุณลักษณะของดัจญาล

ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษ

จากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ»

ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)

- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัว

จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า

« ... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً»

ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)

- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้

จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ»

ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)

จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า

«وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصى»ْ

ความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)

- สาวกของดัจญาล

สาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ»

ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944)

- การป้องการภัยจากดัจญาล

ภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ

«مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ»

ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”

وفي لفظ : «فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ»

อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม

2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม

หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน

จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา

จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا»، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ «وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا» (النساء/159)

ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..

«وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا»

ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)

(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)

3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์

ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย

1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

«حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ»

ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)

2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า

«إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ»

ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)

หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย

4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ

การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น

7. ควันไฟ

«فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ»

ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)

จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ»

ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)

8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก

การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้

«يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ»

ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)

จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا»

ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)

จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า

«إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً»

ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)

9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)

การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

«وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ»

ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)

จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ»

ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)

10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์

ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม

ลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟ

จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا»

ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)

 สัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ

จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม เข้ารับอิสลาม เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ? ท่านตอบว่า

«أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ»

ความว่า “ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก” (อัล-บุคอรีย์ : 3329)

สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้

1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«الأَمَارَاتُ خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً»

ความว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)

2- จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ : اللَّهُ ، اللَّهُ»

ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)

3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ»

ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)

Go to the Top