موقفنا من الاستهزاء بالنبي صلى الله عليه وسلم

فتاوى البطاقة التعريفية
العنوان: موقفنا من الاستهزاء بالنبي صلى الله عليه وسلم
اللغة: تايلندي
مراجعة: صافي عثمان
نبذة مختصرة: سؤال أجاب عنه فضيلة الشيخ محمد صالح المنجد - حفظه الله -، ونصه: «كلنا سمع بما قام به الغربيون من الاستهزاء بالنبي - صلى الله عليه وسلم - والسخرية منه، فما هو موقفنا من ذلك؟ وكيف ندافع عن النبي - صلى الله عليه وسلم -؟».
تأريخ الإضافة: 2008-03-07
الرابط المختصر: http://IslamHouse.com/78457
:: هذا العنوان مصنف موضوعياً ضمن التصانيف الآتية ::
- هذه البطاقة مترجمة باللغات التالية: تايلندي - مليالم - بنغالي
المرفقات ( 2 )
1.
จุดยืนของเราต่อการเยาะเย้ยท่านนบีฯ - ไฟล์ PDF
210.2 KB
فتح: จุดยืนของเราต่อการเยาะเย้ยท่านนบีฯ - ไฟล์ PDF.pdf
2.
จุดยืนของเราต่อการเยาะเย้ยท่านนบีฯ ...
748.5 KB
فتح: จุดยืนของเราต่อการเยาะเย้ยท่านนบีฯ ....doc
نبذة موسعة

คำถาม:  พวกเราต่างได้ยินถึงกรณีที่ชาวตะวันตกได้เยาะเย้ยล้อเลียนต่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เราควรมีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างไร?  และเราจะปกป้องเกียรติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมอย่างไร?

 

คำตอบ:

 

ประการแรก

แท้จริงสิ่งที่เหล่าผู้เขลาขลาดและอาชญากรเหล่านั้นกระทำลงไป ได้สร้างความเดือดร้อนแก่พวกเราและมุสลิมทุกๆ คนที่ห่วงแหนต่อศาสนา โดยการดูถูกเหยียดหยามท่านนบีของเราในขณะที่ท่านเป็นผู้ประเสริฐสุดในแผ่นดินนี้  เป็นผู้นำของผู้คนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันทุกยุคสมัย ขออัลลอฮฺประทานความจำเริญและสันติสุขแก่ท่านด้วยเถิด 

และนี่ก็คือการอวดดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดที่จะพบเห็นได้จากพวกเขาเหล่านั้น เพราะพวกเขาเป็นผู้ช่ำชองเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าการกระทำอันน่าเกลียดนี้ได้ย่ำยีหัวใจพวกเรา และได้เพิ่มความโกรธแค้นและเกลียดต่อพวกเขา และเราก็ปรารถนาที่จะไถ่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ด้วยตัวของพวกเราเอง กระนั้นเราก็ยังพบว่ามีมูลเหตุแห่งข่าวดีที่จะได้เห็นความพินาศและความล่มสลายของแผ่นดินของอาชญากรเหล่านั้น ซึ่งอัลลอฮฺได้ตรัสว่า

«إِنَّا كَفَيْنَاكَ الْمُسْتَهْزِئِينَ» [الحجر : 95]

ความว่า แท้จริงเราได้ปกป้องเจ้าจากบรรดาผู้เยาะเย้ยล้อเลียน(คือพระองค์จะทรงลงโทษด้วยผลตอบแทนที่สาสมกับการกระทำของพวกเขาเอง) (อัลหิจญ์รฺ : 95)

 

ดังนั้นอัลลอฮฺจะปกป้องศาสนทูตของพระองค์ให้รอดพ้นจากเหล่าผู้ดูถูกเหยียดหยามที่ชั่วร้ายเหล่านั้น และอัลลอฮฺได้ตรัสว่า

«إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الْأَبْتَرُ» [الكوثر:3]

ความว่า แท้จริงผู้ที่ดูถูกเยาะเย้ย/เกลียดชังเจ้า คือผู้ที่ขาดวิ่น(หมายถึงไม่มีความดีงาม ไม่ประสบชัยชนะ ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรี) (อัลเกาษัร : 3)

 

แท้จริง เมื่อบรรดามุสลิมไปปิดล้อมกำแพงเมืองของคู่สงครามที่เมืองใดเมืองหนึ่งและพบว่ายากต่อการจู่โจมเข้าไปในเมือง แต่เมื่อได้ยินคนในกำแพงได้ด่าทอใส่ร้ายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม มาจากในกำแพง พวกเขาจะถือว่านี่เป็นการแจ้งข่าวดีว่าใกล้จะถึงเวลาพิชิตเมืองแล้ว ภายในเวลาไม่นานอัลลอฮฺก็จะนำชัยชนะจากพระองค์มาให้เพื่อเป็นการเอาคืนให้กับรอซูลของพระองค์(ต่อการด่าทอของเหล่าศัตรูที่มีต่อท่านรอซูล) (ดู อัศศอริม อัลมัสลูล : 116117)

มีประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์มากมายที่บ่งบอกถึงความพินาศของผู้ดูถูกดูแคลนท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม  

อะไรคือมูลเหตุที่ทำให้พวกเขาเคียดแค้นท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ?

พวกเขาแค้นเพราะท่านนบีมุหัมมัดเรียกร้องสู่เตาฮีด(เอกภาพของอัลลอฮฺ) ขณะที่พวกเขาไม่มีหลักเตาฮีด ไม่ศรัทธาต่อความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺ

พวกเขาแค้นเพราะท่านนบีให้การเชิดชูต่ออัลลอฮฺ และเชื่อว่าพระองค์ปราศจากการมีบุตรและภรรยา แต่พวกเขามีความเชื่อตรงข้าม

พวกเขาแค้นเพราะท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เรียกร้องสู่จรรยามารยาทอันสูงส่ง ปิดกั้นสาเหตุที่จะนำไปสู่ความโสมมทางจริยธรรม แต่พวกเขาต้องการปลดปล่อยให้พ้นจากบ่วงจริยธรรม ให้มีความอิสระเสรีทางเพศ ต้องการจมลึกอยู่ในความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำ และพวกเขาก็ได้กระทำสิ่งนั้นแล้วจริงๆ

พวกเขาแค้นเพราะท่านคือศาสนทูตที่อัลลอฮทรงคัดเลือกมาสู่มวลมนุษยชาติด้วยสารและถ้อยคำวิวรณ์แห่งพระองค์ พร้อมหลักฐานเครื่องหมายแห่งความอัศจรรย์ต่างๆ มากมายที่บ่งบอกและเป็นสักขีถึงการเป็นศาสนทูตของท่าน

หรือพวกเขาไม่เคยได้ยินความอัศจรรย์ของการแยกของดวงจันทร์ ? หรือไม่เคยได้ยินการที่น้ำไหลออกจากระหว่างนิ้วของท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ? 

หรือพวกเขามิเคยได้ฟังถึงความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ นั่นคือคัมภีร์อัลกุรอาน ดำรัสของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้รักษามันให้รอดพ้นจากน้ำมือของของผู้บิดเบือนทั้งหลาย ในขณะที่คัมภีร์ที่พระองค์ประทานให้เหล่านบีของพวกเขา กลับถูกพวกเขาบิดเบือนแต่งแต้มกันเป็นว่าเล่น

«فَوَيْلٌ لِّلَّذِينَ يَكْتُبُونَ الْكِتَابَ بِأَيْدِيهِمْ ثُمَّ يَقُولُونَ هَذَا مِنْ عِندِ اللّهِ لِيَشْتَرُواْ بِهِ ثَمَناً قَلِيلاً فَوَيْلٌ لَّهُم مِّمَّا كَتَبَتْ أَيْدِيهِمْ وَوَيْلٌ لَّهُمْ مِّمَّا يَكْسِبُون» [البقرة : 79]

ความว่า ความพินาศจะประสบกับผู้ที่เขียนคัมภีร์ด้วยมือ  และได้กล่าวว่านี่คือสิ่งที่มาจากพระเจ้า เพื่อจะแลกเปลี่ยนมันด้วยราคาอันเล็กน้อย  ดังนั้นความพินาศจึงมีแก่พวกเขาจากสิ่งที่พวกเขาเขียน และความพินาศมีแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำ  ขวนขวาย (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 79)

 

ยิ่งกว่านั้น หลักฐานที่โดดเด่นที่สุดที่บอกถึงความสัจจริงของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คือศาสนาอิสลามยังคงอยู่มาหลายศตวรรษอย่างโดดเด่นและเป็นที่เชิดชู และเราพบว่าในชีวิตของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้นมักจะประสบชัยชนะเหนือศัตรูอยู่เสมอ

ตามวิทยปัญญาและความประสงค์ของอัลลอฮฺนั้น ปฏิเสธที่จะให้ผู้ที่กล่าวเท็จต่อท่านและศาสนาของท่านได้โอหังอยู่บนหน้าแผ่นดินในระยะเวลาที่ยาวนาน  แม้แต่ในคัมภีร์ของพวกเขาเอง ซึ่งถูกนักปราชญ์ของพวกเขาปกปิดและบิดเบือน ก็มีระบุว่า แท้จริงผู้กล่าวเท็จ(บรรดาผู้แอบอ้างว่าเป็นศาสนทูต)ไม่สามารถอยู่ได้นานเกินสามสิบปี หรือประมาณนั้น

ดังมีเรื่องเล่าที่กษัตริย์องค์หนึ่งได้นำชายคนหนึ่งจากชาวคริสเตียนที่ด่าทอและใส่ร้ายท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่าเป็นผู้ประกาศศาสนาจอมปลอม มานั่งต่อหน้าบรรดาปวงปราชญ์ของพวกเขา แล้วกษัตริย์ก็ถามว่า "คนที่โกหก(ผู้ประกาศศาสนาจอมปลอม)จะอยู่ได้นานเท่าไร?" เหล่านักปราชญ์ตอบว่า "เท่านั้นเท่านี้  สามสิบปี หรือประมาณนี้" กษัตริย์ก็กล่าวต่อไปว่า "(ศาสนามุหัมมัด)อยู่มากว่าห้าร้อยหรือหกร้อยปีแล้ว(ในสมัยนั้น) แต่ยังมีคนตามและยอมรับ แล้วมุหัมมัดจะเป็นคนโกหกได้กระนั้นหรือ?" แล้วกษัตริย์ก็ได้สั่งให้ตัดคอชายผู้นั้น (ดู บทอธิบาย อัลอะกีดะฮฺ อัลอัศฟะฮานียะฮฺ ของ อิบนุ ตัยมียะฮฺ)

พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่าบรรดาผู้รู้ นักปราชญ์และกษัตริย์ของพวกเขาหลายคน เมื่อมีสารอันบริสุทธิ์ของอิสลามไปถึงมือพวกเขา พวกเขามิอาจจะตัดสินใจเป็นอื่นได้นอกจากต้องยอมรับถึงความถูกต้องของศาสนานี้ และหลายคนก็ประกาศเข้ารับอิสลาม ดังเช่น กษัตริย์นะญาชีย์ (เนกุส) แห่งอบิสสิเนีย(เอธิโอเปีย) ในอดีต

และเมื่อท่านศาสนทูตส่งสาส์นถึงกษัตริย์โรมันเพื่อเชิญชวนสู่อิสลาม องค์กษัตริย์ก็ได้ประกาศรับรองถึงความถูกต้องของอิสลาม และมีความประสงค์ที่จะประกาศอิสลาม แต่เพราะเหตุแห่งความกลัว และความอายจึงอยู่อย่างผู้ปฏิเสธต่อไปและได้ตายในฐานะนั้น

แม้แต่ผู้ร่วมสมัยกับบรรดาอาชญากรผู้เยาะเย้ยถากถางในปัจจุบันก็ประกาศเช่นนั้น

1. Michael Hart ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา The 100 : A Ranking of the Most Influential Persons in History  "100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลตลอดกาล" (หน้า 13) เขาได้จัดให้นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม อยู่ในอันดับแรก  "เพราะมุหัมมัดคือบุคคลเดียวที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านทางโลกและด้านศาสนา

2. George Bernard Shaw ชาวอังกฤษ เจ้าของงานเขียนชื่อว่า มุหัมมัด ที่ซึ่งผู้มีอำนาจในอังกฤษได้เผามันทิ้ง  เขากล่าวว่า "แท้จริงโลกนี้มีความต้องการนักคิดแบบมุหัมมัด แต่ว่าเป็นเพราะความงมงายและคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ทำให้บรรดานักวิชาการศาสนาในศตวรรษกลางได้ป้ายสีมุหัมมัด พวกเขาได้วาดภาพของศาสดามุหัมมัดเป็นสีเทา และพวกเขาหาว่ามุหัมมัดเป็นศัตรูของคริสเตียน แต่สำหรับฉันได้พบว่าศาสนามุหัมมัดมีหลายคำตอบ และฉันก็ได้พบว่าท่านไม่ได้เป็นศัตรูของคริสต์ แต่จำเป็นที่ต้องเรียกมุหัมมัดว่าเป็นผู้ปลดปล่อยสู่ความเป็นมนุษย์ และในความเห็นของฉันหากมุหัมมัดได้ปกครองโลกในวันนี้ แน่นอนเขาจะแก้ปัญหาด้วยความสันติสุข ตามที่มนุษย์ชาติต่างเรียกร้องเพรียกหา"

3. Annie Besant กล่าวว่า  เป็นไปไม่ได้เลยกับผู้ที่ศึกษาชีวประวัติของนบีชาวอาหรับ และรู้วิถีชีวิตของเขาอย่างละเอียด นอกจากเขาจะรู้สึกนับถือกับนบีผู้นี้ว่าเขาเป็นศาสนาทูตแห่งอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่"

4. Schabrak ชาวออสเตรียน กล่าวว่า "แท้จริงมนุษย์ชาติมีความภูมิใจที่มีบุรุษอย่างมุหัมมัด เพาะว่าเขาสามารถนำบทบัญญัติมาให้เราได้ตั้งแต่สิบกว่าศตวรรษมาแล้วในขณะที่ตัวเองอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และพวกเราชาวยุโรปจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดหากเราได้ก้าวขึ้นเป็นเหมือนกับความสุดยอดของเขา"

5. นักบูรพาคดีชาวแคนาดา Dr. Zwemer กล่าวว่า "แท้จริงมุหัมมัดเป็นนักปฏิรูปที่มีความสามารถ มีวาทศิลป์และความฉะฉาน กล้าหาญ เป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่  และไม่เป็นการบังควรที่พวกเราจะกล่าวหาพาดพิงท่านด้วยสิ่งที่ค้านกับคุณลักษณะเหล่านี้ อัลกุรอานที่เขานำมาและประวัติของท่านเป็นพยานได้อย่างดีถึงสิ่งที่เราอ้างนี้"

6. Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลกล่าวไว้ในหนังสือ Heroes "วีรบุรุษของเขาว่า เป็นเรื่องน่าอายมากสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบันที่กล่าวหาว่าศาสนาของอัลลอฮฺเป็นศาสนาจอมปลอมและนบีมุหัมมัดเป็นคนโกหกหลอกหลวง ตลอดชีวิตของเขาเราพบว่าเขามีความหนักแน่นทางอุดมการณ์ มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ ใจบุญและเมตตา ยำเกรง เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี อิสระ เป็นบุรุษผู้จริงจัง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตง่ายๆ อบอุ่น เป็นมิตรแก่ผู้ที่อยู่ร่วมและพบเห็น หนำซ้ำอาจจะเป็นคนช่างหยอกเย้าในบางครั้ง เป็นคนที่ยุติธรรม ตั้งใจจริง ชาญฉลาด ตัดสินใจฉับไว เหมือนว่าเป็นคนจุดเทียนที่คอยส่องแสงสว่างในยามกลางคืนอันมืดมิด เต็มเปี่ยมด้วยรัศมี เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ ไม่เคยผ่านโรงเรียน ไม่มีครู เพราะเขาไม่ได้มีความจำเป็นต่อสิ่งเหล่านั้นเลย

7. Goethe กวีชาวเยอรมัน กล่าวว่า "เราชาวยุโรปตามนัยยะแห่งตัวตนของเราทั้งหมด ยังไม่มีทางที่จะเข้าถึงเหมือนที่มุหัมมัดเข้าถึง และคงไม่มีใครสามารถล้ำหน้าเกินเขาได้ แท้จริงฉันได้ค้นคว้าถึงตัวอย่างอันสูงส่งสำหรับมนุษย์จากหน้าทั้งหลายในประวัติศาสตร์ และฉันได้พบว่าสิ่งนั้นมีอยู่ในตัวของศาสนทูตมุหัมมัด เช่นนี้แหล่ะที่สัจธรรมควรจะต้องโดดเด่นและสูงส่ง เหมือนที่มุหัมมัดประสบความสำเร็จในการสยบโลกทั้งผองภายใต้ถ้อยคำแห่งเตาฮีด(ความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า)"

หากเป็นเช่นดังนั้น มันย่อมเป็นหน้าที่ของชาวโลกทั้งหมดโดยไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับพวกเขา ที่ต้องยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในหมู่พวกเขาทั้งหมดให้อยู่เหนือความยิ่งใหญ่ใดๆ ต้องยอมรับถึงความประเสริฐของท่านเหนือความประเสริฐใดๆ ให้เกียรติแก่ท่านเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด จำเป็นสำหรับชาวโลกทั้งผองที่จะต้องศรัทธาต่อสาส์นของท่านบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม และต้องศรัทธาว่าท่านเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา

เราขอใช้โอกาสนี้ เรียกร้องพวกเขาสู่อิสลาม และหากว่าพวกเขาได้ทำผิดลงไปด้วยน้ำมือพวกเขาการรับอิสลามเท่านั้นที่จะลบล้างความผิดเหล่านั้นได้ หากพวกเขาดื้อดึงโอ้อวด และยืนกรานที่เป็นอยู่อย่างนั้น  จงบอกข่าวแก่พวกเขาด้วยการลงโทษแห่งไฟนรก พวกเขาจะได้อยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮฺผู้สูงส่งได้ตรัสว่า

«إِنَّهُ مَن يُشْرِكْ بِاللّهِ فَقَدْ حَرَّمَ اللّهُ عَلَيهِ الْجَنَّةَ وَمَأْوَاهُ النَّارُ وَمَا لِلظَّالِمِينَ مِنْ أَنصَارٍ» [المائدة : 72]

ความว่า แท้จริงผู้ใดที่ให้มีภาคีขึ้นกับอัลลอฮฺแน่นอนอัลลอฮฺจะให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่อยู่ของเขานั้น คือ ไฟนรก และสำหรับผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ (อัลมาอิดะฮฺ : 72)  

 

พระองค์ยังได้ตรัสอีกว่า

«وَمَن يَبْتَغِ غَيْرَ الإِسْلاَمِ دِينًا فَلَن يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ فِي الآخِرَةِ مِنَ الْخَاسِرِين» [آل عمران : 85]

ความว่า และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดนอกจากอิสลามแล้ว ดังนั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน (อาล อิมรอน : 85)

 

ท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺผู้ซึ่งชีวิตของมุหัมมัดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีคนหนึ่งคนใดในประชาชาตินี้ไม่ว่ายิวหรือคริสต์ที่ได้รับฟัง(ศาสนาของ)ฉัน แต่หลังจากนั้นเขาตายไปโดยไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันถูกส่งมา นอกจากเขาต้องเป็นชาวนรก (บันทึกโดยมุสลิม : 153)

 

ประการที่สอง

อัลลอฮฺผู้สูงส่งนั้นทรงปรีชายิ่ง พระองค์ไม่ได้กำหนดสิ่งใดให้เป็นความชั่วร้ายล้วนๆ แต่จะต้องมีความดีในนั้นแก่บ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ แม้ว่าผู้อื่นจะเห็นว่าเป็นความชั่วร้าย(หรือผลเสีย)ก็ตาม ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า น่าแปลกสำหรับการงานของผู้ศรัทธา แท้จริงการงานของเขาทั้งหมดนั้นเป็นความดี และไม่ได้เป็นเช่นนั้นนอกจากสำหรับผู้ที่ศรัทธาเท่านั้น หากเขาได้รับความสุขเขาก็ขอบคุณ นั่นย่อมเป็นสิ่งดีสำหรับเขา และถ้าหากประสบกับความลำบาก เขาก็อดทน มันก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาเช่นกัน (บันทึกโดยมุสลิม : 2999)

            ครั้งหนึ่งในเหตุการณ์ใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ซึ่งเป็นที่รู้กันนั้น อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

«لا تَحْسَبُوهُ شَرًّا لَّكُم بَلْ هُوَ خَيْرٌ لَّكُمْ لِكُلِّ امْرِئٍ مِّنْهُم مَّا اكْتَسَبَ مِنَ الإِثْمِ وَالَّذِي تَوَلَّى كِبْرَهُ مِنْهُمْ لَهُ عَذَابٌ عَظِيم» [النور :11]

ความว่า พวกเจ้าอย่าได้คิดว่ามัน(เหตุการณ์ใส่ร้ายนั้น)เป็นสิ่งชั่วร้าย(ผลเสีย)แก่พวกเจ้า สำหรับทุกๆ คนในหมู่พวกเขาเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้จากการทำบาป(คือคนที่ใส่ร้ายเหล่านั้นจะต้องประสบกับการลงโทษตามที่พวกกระทำ) ส่วนผู้ที่มีบทบาทมากในเรื่องนี้ในหมู่พวกเขานั้น(ผู้เป็นหัวหน้าในเรื่องดังกล่าว) เขาผู้นั้นจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์(อันนูร :11)

 

สรุปผลบางประการที่เป็นแง่ดีจากเหตุการณ์อันชั่วช้านี้

            1. พฤติกรรมของบรรดาอาชญากรเหล่านั้น แสดงออกถึงความอิจฉาริษยาเกลียดชังต่อบรรดามุสลิม ถึงแม้ว่าหลายๆ ครั้งที่พวกเขาแสดงออกว่าพวกเขาคือผู้รักความสงบสันติก็ตาม

«قَدْ بَدَتِ الْبَغْضَاء مِنْ أَفْوَاهِهِمْ وَمَا تُخْفِي صُدُورُهُمْ أَكْبَرُ» [آل عمران :118]

ความว่า แท้จริงความเกลียดชังต่างๆ ได้เผยออกมาแล้วจากปากของพวกเขา และสิ่งที่หัวอกของพวกเขาซ่อนไว้นั้นใหญ่ยิ่งกว่า" (อาล อิมรอน : 118)

 

2. เป็นการเปิดเผยถึงความโป้ปดของชาติตะวันตกในเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรฐานที่พวกเขายึดใช้  ตรงนี้พวกเขาอ้างถึงเสรีภาพในการแสดงออก ในขณะที่ผู้มีปัญญาทุกคนล้วนรู้ว่าเสรีภาพที่พวกเขาอ้างดังกล่าวนั้นกลับสร้างความเดือนร้อนต่อเกียรติและละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นอยู่ พวกเขาล้วนโป้ปดในคำกล่าวอ้างสิทธิแห่งความอิสระเสรี เราทุกคนคงจะจำเหตูการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้ เมื่อรัฐบาลชุดหนึ่งได้คิดทำลายรูปเจว็ดที่มีอยู่ในประเทศของพวกเขา ทว่ากลับถูกโจมตีอย่างวุ่นวายจากทั่วโลก แล้วไหนเล่าอิสระต้นความคิดที่ถูกอ้าง? ทำไมคนพวกนั้นไม่ถือเอาว่านี่ก็คือสิทธิแห่งเสรีภาพเช่นเดียวกันเล่า?

 

3. เป็นการบอกถึงความโมฆะของคำกล่าวอ้างตามที่ผู้นิยมตะวันตกบางคนจากหมู่พวกเราเองที่เรียกร้องกันนักหนาว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้เรียกขานผู้ไม่ใช่มุสลิมว่า (กาฟิร) แต่ให้เรียกว่า (คนอื่น) เพื่อไม่ให้พวกเขาใช้เป็นเหตุจุดไฟสร้างความปั่นป่วนระหว่างพวกเรากับพวกเขาได้   ทีนี้ ทุกคนก็จงรู้เถิดว่า ผู้ใดกันแน่ที่จงชังและไม่ให้เกียรติผู้อื่น ซ้ำยังหาช่องทางประกาศสงครามทุกครั้งที่มีโอกาส

 

4. แสดงถึงความโป้ปดมดเท็จของคำกล่าวอ้างที่พวกเขาป่าวร้องทั่วโลกในเรื่อง "การสนทนาระหว่างอารยธรรม"  ที่ยืนอยู่บนหลักการให้เกียรติแก่คนอื่นและการไม่เป็นปรปักษ์กับเขา แต่ทว่า ไหนเล่าการสนทนาที่พวกเขาต้องการ? ไหนเล่าการให้เกียรติตามที่พวกเขากล่าวอ้าง? แท้จริงแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการ คือการที่เราให้เกียรติ ยกย่อง ยอมรับ ก้มหน้าและกราบพวกเขา ในขณะที่พวกเขานั้นมิได้เพิ่มอะไรแก่พวกเราเลยนอกจากการเยาะเย้ย ดูถูก และความอธรรรม !!

 

5. ได้ฟื้นฟูรากเหง้าแห่งความศรัทธาในหัวใจของมุสลิม เราเห็นแล้วว่าการโต้ตอบของชาวมุสลิมนั้นเป็นหลักฐานบอกถึงความมั่นคงของการศรัทธาในหัวใจของพวกเขา ในด้านความรักของพวกเขาที่มีต่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แม้กระทั่งคนที่เหลวไหลไม่เอาไหนในเรื่องศาสนา เราก็ยังพบว่าเขายังมีสำนึกที่เปี่ยมล้นในการปกป้องท่านรอซูลผู้ทรงเกียรติของเรา

 

6. สร้างความเป็นเอกภาพให้แก่บรรดามุสลิม จากเหตุการณ์นี้ ขอสรรเสริญอัลลอฮฺ เราเห็นได้ว่ามุสลิมยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ แสดงจุดยืนเดียวกัน ถึงแม้ว่าเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์และภาษาจะต่างกัน

 

7. ปรากฏความเป็นประชาคมของชาติตะวันตกอย่างเด่นชัดที่ต้องการโจมตีอิสลาม เพียงแค่ประเทศผู้ก่อเรื่องได้ขอความช่วยเหลือจากประชาคมของพวกเขาเท่านั้นเอง เหล่าประเทศต่างๆ ก็ยื่นมืออยู่เคียงข้างด้วยกันทันที และบรรดาอาชญากรต่างก็สั่งเสียกันให้ช่วยกันเผยแผ่ภาพต่างๆ เหล่านั้นให้กระจายไปตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อให้ชาวมุสลิมประจักษ์ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในคูเดียวกัน และพวกเราไร้ความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งหมดได้

 

8. ได้เกิดความพยายามของมุสลิมบางกลุ่มที่จะเรียกร้องพวกเขาเหล่านั้นสู่อิสลาม และอธิบายแก่นแท้ของศาสนานี้ เราพบว่ามุสลิมมีการแข็งขันกันที่จะพิมพ์หนังสือเป็นภาษาของพวกเขา เพื่อที่จะลบล้างข้อบิดเบือนที่พวกเขาเข้าใจผิดออกไปให้หมด เพื่อหวังว่าพวกเขาจะได้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง

 

9. ได้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมของการบอยคอตสินค้าของผู้ที่ละเมิดต่อท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กระนั้นประเทศของพวกเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ไม่ว่าจะโดยทางการหรือโดยช่องทางทางการเมืองใดๆ ในระดับสูง ทว่าเมื่อการบอยคอตสินค้าผ่านพ้นไปไม่กี่วัน ในที่สุดหนังสือพิมพ์ที่ก่อเหตุดังกล่าวและบรรณาธิการก็ยอมขอโทษและเปลี่ยนสำนวนคำพูดของตน และดูโอนอ่อนมากขึ้นกับชาวมุสลิม เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เป็นที่ประจักษ์ว่าการบอยคอตเป็นอาวุธใหม่ของชาวมุสลิม เป็นไปได้ที่เรานำมันมาใช้เพื่อให้มีผลกระทบแก่ศัตรูและสร้างความเสียหายแก่พวกเขาได้

 

10. เป็นการส่งสารอย่างชัดเจนไปยืนยันกับชาวตะวันตกว่า แท้จริงพวกเราชาวมุสลิมไม่ยินยอมอย่างเด็ดขาดที่จะปล่อยให้พวกเขาแตะต้องและล่วงละเมิดศาสนาของเราอย่างเสียๆ หายๆ หรือล่วงเกินต่อท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ของเรา เรายอมเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ลูกหลาน หรือเกียรติของเราเพื่อปกป้องเกียรติแห่งนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

 

ประการที่สาม

ในด้านบทบาทและหน้าที่ของเราต่อเหตุการณ์นี้ก็คือ

1. จำเป็นต่อเราต้องปฏิเสธต่อการกระทำนี้อย่างจริงจัง ตามกำลังความสามารถที่เราพึงกระทำได้ ไม่ว่าจะด้วยการส่งสาร บทความ โทรศัพท์ ไปยังรัฐบาล กระทรวงต่างประเทศ หรือสื่อสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ของพวกเขา

 

2. เรียกร้องพวกเขาให้ขอโทษต่อความผิดที่พวกเขากระทำขึ้นอย่างจริงใจ โดยไม่ตลบตะแลงหรือขอโทษอย่างเสแสร้ง เราไม่ต้องการคำขอโทษเพื่อแสดงถึงการเยาะเย้ยต่อมุสลิม แต่เราต้องการให้พวกเขายอมรับผิดและขอโทษต่อฐานความผิดที่เขาก่อขึ้น

 

3. เรียกร้องต่อพวกเขาให้จัดการกับอาชญากรผู้กระทำความผิด

 

4. เรียกร้องพวกเขารวมถึงรัฐบาลของพวกเขาให้หยุดจากการเป็นศัตรูต่ออิสลามและมุสลิม

 

5. แปลตำรับตำราเป็นภาษาของพวกเขาเพื่อเรียกร้องพวกเขาสู่ศาสนาอิสลามเช่น  หนังสือ แนะนำอิสลาม ศาสนาทูตของอิสลาม อธิบายถึงชีวประวัติอันดีงามของท่าน

 

6. เช่าเวลาจากสถานีวิทยุ โทรทัศน์ เพื่อปกป้องเกียรติแห่งท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม  ลบล้างมลทินที่ถูกปรักปรำใส่ร้าย และเพิ่มเติมข้อมูลที่มีเหตุผลหนักแน่น และนำเสนอข้อมูลที่ทำให้ชาวตะวันตกยอมจำนนด้วยสติปัญญา

 

7. เขียนบทความที่มีเนื้อหาครอบคลุมชัดเจนสำหรับเผยแพร่ในวารสาร หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ด้วยภาษาที่หลากหลาย

 

8. สำหรับการบอยคอตสินค้า ในเมื่อการบอยคอตสินค้าของพวกเขาส่งผลกระทบต่อพวกเขา ดังที่ปรากฏชัด ดังนั้นมีเหตุผลอันใดเราจึงไม่บอยคอตสินค้าของพวกเขา และหาบริษัทหรือแบรนด์อื่นที่เป็นของมุสลิมมาทดแทน

 

9. ปิดกั้นกระบวนการอันป่าเถื่อนนี้  ซึ่งกระทำต่ออิสลามและท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ด้วยการอธิบายถึงความดีงามแห่งอิสลามที่สอดคล้องกับสติปัญญา และโต้ตอบต่อการบิดเบือนของพวกอาชญากร

 

10. ยึดมั่นในซุนนะฮฺ( แบบอย่างของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ) ยืนหยัดมั่นคงในทางนำของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในทุกๆ เรื่อง และมีความอดทนอดกลั้น ดังดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า

«وَإِن تَصْبِرُواْ وَتَتَّقُواْ لاَ يَضُرُّكُمْ كَيْدُهُمْ شَيْئً» [آل عمران : 120]

ความว่า  และถ้าหากพวกเจ้าอดทนและยำเกรงแล้วไซร้ อุบายของพวกเขาก็ย่อมไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าแต่อย่างใด (อาล อิมรอน : 120)

 

11. พยายามเชิญชวนพวกเขาอย่างจริงจัง เพราะถึงแม้เราจะมองพวกเขาด้วยสายตาโกรธเคืองและเคียดแค้น ทว่าเราก็ยังต้องมองพวกเขาด้วยสายตาแห่งความสงสารปรานี เพราะพวกเขาจะตายในเวลาอันใกล้และกลายเป็นชาวนรกหากพวกเขาต้องตายในสภาพดังกล่าว ดังนั้นเราจึงต้องเรียกร้องพวกเขาสู่อิสลามและความสำเร็จในโลกหน้า ด้วยความเมตตาสงสารและปรานีแก่พวกเขา

 

สุดท้ายเราขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ ขอทรงทำให้ศาสนาของพระองค์สูงส่ง ทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ที่อยู่ข้างพระองค์ และทรงทำให้ศัตรูของพระองค์ต่ำต้อย  และพระองค์อัลลอฮฺนั้นย่อมมีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง แม้ว่ามนุษย์ส่วนมากจะไม่รู้ก็ตาม

ขออัลลอฮฺประทานความจำเริญและสันติสุขแด่ท่านนบีมุหัมมัด และอัลลอฮฺย่อมรู้ดียิ่งกว่า

 

ที่มา

//islamhouse.com/p/76612

//www.islam-qa.com/index.php?ref=86109&ln=ara

//www.islam-qa.com/index.php?ref=86109&ln=eng

 

Go to the Top