কাফেরদের সাথে সাদৃশ্যতা রাখা সম্পর্কে নীতিমালা

ফতোয়া পেইজ পরিচিতি
শিরোনাম: কাফেরদের সাথে সাদৃশ্যতা রাখা সম্পর্কে নীতিমালা
ভাষা: থাই
মুফতী: মুহাম্মাদ সালেহ আল-মুনাজ্জিদ
অনুবাদক: সাফী উসমান
সংক্ষিপ্ত বর্ণনা: শায়খ সালেহ আল মুনজিদ প্রশ্নের উত্তর দিচ্ছেন। প্রশ্নটা হল পশ্চিমাদের সাথে সাদৃশ্যতার সীমারেখা কি? যা কিছু পশ্চিম থেকে আসে তা সবই কিছু এর অন্তর্ভূক্ত?
সংযোজন তারিখ: 2007-11-30
শর্ট লিংক: http://IslamHouse.com/64603
:: এই শিরোনামটি বিষয় অনুসারে নিম্নের ক্যাটাগরিগুলোতে বিন্যস্ত ::
এই ‘বিষয় পরিচিতি’টি নিম্নোক্ত ভাষায় অনূদিত:: থাই - আরবী - মালয়ালাম - বসনিয়ান - উযবেক
বিস্তারিত বিবরণ

ถาม : อะไรคือขอบเขตการเลียนแบบ(ตะชับบุฮฺ)ชาวตะวันตก ? ทุกสิ่งที่ใหม่และเก่าที่มาจากตะวันตกและถูกใช้ในสังคมเราล้วนเป็นการลอกเลียนแบบพวกเขาหรือไม่? หรืออีกนัยหนึ่ง เราจะใช้เกณฑ์อะไรเพื่อวินิจฉัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะเป็นการเลียนแบบชนกาฟิร?

ตอบ : อัลหัมดุลิลลาฮฺ ... มีรายงานจากอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า ผู้ใดที่เลียนแบบกลุ่มชนใด เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา (บันทึกโดย อบู ดาวูด 3512, อัล-อัลบานีย์ให้หุก่มว่า หะสัน เศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3401)

อัล-มุนาวีย์ และอัล-อัลเกาะมีย์ กล่าวว่า ความหมายก็คือ การที่ภายนอกนั้นเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของพวกเขา และดำเนินตามแนวทางและวิถีทางของพวกเขาทั้งในเรื่องการแต่งกายหรือการกระทำบางอย่าง

อัล-กอรีย์ กล่าวว่า ความหมายคือ ใครที่ลอกเลียนชนกาฟิร เช่นในเรื่องการแต่งกายและอื่นๆ หรือเลียนแบบพวกที่เหลวไหลหรือคนเลว หรือเลียนแบบพวกตะเศาวุฟหรือผู้มีคุณธรรมทั้งหลาย เขาก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา นั่นคือในเรื่องบาปหรือบุญ

อิบนุ ตัยมิยะฮฺ กล่าวไว้ใน อิกติฎออ์ อัศ-ศิรอฏ อัส-มุสตะกีม ว่า อิมามอะห์มัดและคนอื่นได้ใช้อ้างหะดีษนี้ ซึ่งอย่างน้อยที่สุด มันนำไปสู่หุก่มที่ว่า ห้ามลอกเลียนชนกาฟิร เช่นที่อัลลอฮฺตรัสว่า

« وَمَنْ يَتَوَلَّهُمْ مِنْكُمْ فَإِنَّهُ مِنْهُمْ » (سورة المائدة: من الآية 51)

ความว่า ผู้ใดในระหว่างพวกเจ้าที่ผูกสัมพันธ์กับพวกเขา แน่นอน เขาก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา (อัล-มาอิดะฮฺ : 51)

มันคล้ายกับที่อับดุลลอฮฺ บิน อัมร์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา กล่าวว่า ใครที่อาศัยอยู่ในดินแดนพวกมุชริกีน ได้ร่วมจัดงานเฉลิมฉลองและเทศกาลต่างๆ  และได้เลียนแบบพวกเขาจนกระทั่งได้เสียชีวิต ในวันกิยามะฮฺเขาก็จะถูกต้อนรวมกับพวกเขา นี่อาจจะตีความได้ว่าการเลียนแบบใดๆ ทุกประเภทนั้นนำไปสู่การกุฟรฺ(ปฏิเสธศรัทธา) และหลายส่วนของมันเป็นที่ต้องห้าม หรืออาจจะตีความได้ว่าผู้เลียนแบบเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเฉพาะในพฤติกรรมร่วมที่เขาได้เลียนแบบ ซึ่งหากพฤติกรรมนั้นเป็นกุฟรฺหรือมะอฺศิยัต(บาป)หรือเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา เขาผู้เลียนแบบนั้นก็จะโดนหุก่มเดียวกันด้วย มีรายงานจากอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ถึงการห้ามมิให้เลียนแบบคนต่างศาสนิก ท่านได้กล่าวว่า ผู้ใดที่เลียนแบบกลุ่มชนใด เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา (อ้างแล้ว) กอฎีย์ อบู ยะอฺลาได้ร่วมบันทึกหะดีษนี้ อุละมาอ์หลายท่านได้อ้างใช้หะดีษนี้ในการวินิจฉัยว่าการแต่งเสื้อผ้าบางอย่างตามลักษณะของผู้ไม่ใช่มุสลิมนั้นเป็นที่น่ารังเกียจ (ดู เพิ่มเติม เอานุล มะอฺบูด ชัรหฺ สุนัน อบี ดาวูด)

การเลียนแบบชนกาฟิรนั้นมีสองประเภท คือ การเลียนแบบที่ต้องห้าม และ การที่เลียนแบบที่อนุญาต

ประเภทที่หนึ่ง การเลียนแบบที่ต้องห้าม นั่นคือการประพฤติตามการกระทำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศาสนาอื่น โดยที่เขาผู้เลียนแบบนั้นทราบดี และไม่มีระบุว่าเป็นหลักบัญญัติในศาสนาเรา อันนี้ย่อมเป็นสิ่งต้องห้าม ทว่าบางอย่างนั้นอาจจะนำไปสู่การตกศาสนาได้ตามหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ไม่ว่าผู้เลียนแบบจะทำเพื่อเอาใจชนกาฟิร หรือเพราะความปรารถนาของตนเอง หรือเพราะคิดไปว่ามันมีประโยชน์ในโลกนี้หรือโลกหน้า

หากมีผู้ถามว่าถ้าทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาก็จะได้บาปหรือไม่ เช่นผู้ที่จัดงานวันเกิดเป็นต้น? คำตอบก็คือ ผู้ใดที่กระทำโดยไม่รู้เขาก็จะไม่บาป แต่เขาต้องได้รับการสอนและบอกกล่าวให้รู้ หากเขายังดื้อรั้นทำต่อหลังจากที่รู้แล้ว นั่นถึงจะบาป

ประเภทที่สอง การเลียนแบบที่อนุญาตให้ทำได้ นั่นคือการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ดั้งเดิมนั้นไม่ได้นำมาจากชนกาฟิร แต่มีปรากฏว่าชนกาฟิรเองก็ทำสิ่งนั้นด้วย การเลียนแบบประเภทนี้ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม (แต่การทำไม่เหมือนกับพวกเขาอาจจะให้ผลที่ดีกว่า)การเลียนแบบในประเภทนี้อาจจะทำให้เราพลาดไม่ได้รับผลบุญที่เราถูกสั่งไม่ให้ตามพวกเขา

การเลียนแบบชาวคัมภีร์(ยิวและคริสต์)หรือพวกอื่นๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับทางโลกนั้นไม่เป็นที่อนุญาตนอกจากด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้

1.   การเลียนแบบต้องไม่เกี่ยวข้องกับการประเพณีหรือสัญลักษณ์เฉพาะของพวกเขา

2.   ต้องไม่เกี่ยวข้องกับบัญญัติทางศาสนา โดยอาศัยการตรวจสอบหรือบอกเล่าจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เช่นมีระบุไว้ในอัลกุรอานหรือในหะดีษ หรือด้วยสายรายงานเอกฉันท์ ตัวอย่างเช่นการกราบให้ความเคารพผู้อื่น ซึ่งเป็นที่อนุญาตสำหรับชนรุ่นก่อนอิสลาม

3.   ต้องไม่มีบัญญัติในศาสนาเราถึงเงื่อนไขเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ หากมีระบุในบัญญัติของศาสนาเราว่าอนุญาตหรือห้ามการกระทำสิ่งนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะถือใช้ตามที่มีระบุในบัญญัติของเรา

4.   การเลียนแบบนี้ต้องไม่ขัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีในบัญญัติของศาสนาเรา

5.   การเลียนแบบนี้ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเฉลิมฉลองของพวกเขา

6.   การเลียนแบบต้องอยู่ในกรอบของความจำเป็นและต้องไม่เลยเถิดเกินไปจากนั้น

(ดู เพิ่มเติม อัส-สุนัน วะ อัล-อะษารฺ ฟี อัน-นะฮฺยุ อัน อัต-ตะชับบุฮฺ บิ อัล-กุฟฟารฺ เขียนโดย สุฮัยล์ หะสัน  หน้า 58-59)

Go to the Top